บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3 พ.ศ. 2550 มีกำไรสุทธิจำนวนทั้งสิ้น 1, 719 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 94 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการรับรู้กำไรของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี และกำไรจากธุรกิจถ่านหินซึ่งมีราคาสูงขึ้น

นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กำไรสุทธิจำนวน 1,719 ล้านบาทในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย การรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จำนวน 1,154 ล้านบาท กำไรจากธุรกิจถ่านหินและอื่นๆ จำนวน 565 ล้านบาท

“กำไรสุทธิของไตรมาส 3 ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีเป็นหลัก และกำไรจากธุรกิจถ่านหินซึ่งมีราคาสูงขึ้นตามราคาตลาด รวมทั้งปริมาณการขายถ่านหินคุณภาพดีที่เพิ่มขึ้นจากเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย คือเหมืองอินโดมินโด และเหมืองทรูบาอินโด อย่างไรก็ตามคาดว่าผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาส 4 ของปีนี้ จะปรับตัวลดลงจากไตรมาสนี้เนื่องจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีจะหยุดซ่อมประจำปี” นายชนินท์ กล่าว

ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2550 บ้านปูฯ มีรายได้จากการขายรวมจำนวน 8,641 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขายถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้รายได้จากการขายรวมในไตรมาส 3 แบ่งออกเป็นรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจำนวน 7, 654 ล้านบาท หรือร้อยละ 89 ของรายได้ ซึ่งมาจากการขายถ่านหินจากเหมืองถ่านหินในสาธารณรัฐอินโดนีเซียจำนวน 7,487 ล้านบาท และ167 ล้านบาทจากเหมืองถ่านหินในประเทศไทย โดยในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บ้านปูฯ มีการจำหน่ายถ่านหินจำนวน 5.07 ล้านตัน และราคาถ่านหินเฉลี่ยอยู่ที่ 42.58 เหรียญสหรัฐต่อตัน สูงขึ้นร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในประเทศจีนมีจำนวน 949 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11 ของรายได้รวม

ฐานะการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 53,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,585 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549 มีหนี้สินรวมจำนวน 28,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1, 177 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ส่วนอตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 เท่ากับ 0.68เท่า เทียบกับ 0.66 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (Earning Per Share) ในไตรมาส 3 เท่ากับ 6.32 บาทต่อหุ้น เทียบกับ 3.25 บาทต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว