บ้านปูฯ มองปัจจัยระยะสั้นที่เกิดขึ้นที่เมืองจีนในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลบวกต่อทิศทางราคาถ่านหิน
บ้านปูฯ มองปัจจัยระยะสั้นที่เกิดขึ้นที่เมืองจีนในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลบวกต่อทิศทางราคาถ่านหิน
• น้ำท่วมใหญ่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ไม่ส่งผลกระทบต่อการจำหน่ายถ่านหินของบ้านปูฯ
• ระบบการขนส่งถ่านหินในประเทศจีนของบ้านปูฯ ไม่ได้พึ่งพาระบบการขนส่งทางรถไฟ
• น้ำท่วมส่งผลให้ตลาดถ่านหินตึงตัวและราคาปรับสูงขึ้น
• แนวโน้มราคาถ่านหินตลาดส่งออกอยู่ในระดับแข็งแกร่งสะท้อนการใช้ถ่านหินที่สูงต่อเนื่องในประเทศจีน
• ผลประกอบการของบ้านปูฯ ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งจากราคาขายที่ดีและต้นทุนที่เหมาะสม
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้บุกเบิกด้านพลังงานชั้นแนวหน้าของเอเชีย ดำเนินธุรกิจถ่านหิน ธุรกิจไฟฟ้า และพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอย่างครบวงจร มองปัจจัยระยะสั้นที่เกิดขึ้นที่สาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงที่ผ่านมาทั้งจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ และการจำกัดการนำเข้าถ่านหิน เป็นผลบวกต่อทิศทางราคาถ่านหิน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังสามารถดำเนินงานด้านการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง และผลประกอบการยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยได้รับการสนับสนุนจากราคาถ่านหินที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้แล้วในระดับที่ดี อีกทั้งผลประกอบการจากธุรกิจไฟฟ้ายังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ธุรกิจถ่านหินของบ้านปูฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีนในขณะนี้ เนื่องจากการขายถ่านหินในจีนไม่ได้พึ่งพาระบบราง ในทางตรงข้ามผลจากน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ราคาถ่านหินปรับเพิ่มขึ้น ทั้งในตลาดภายในของจีนและในตลาดโลก เนื่องจากจีนต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ เขื่อน Three Gorges Dam และเขื่อนเก้อโจวป้า (Gezhouba) ที่ลดลงค่อนข้างมาก ซึ่งล่าสุดเขื่อนทั้ง 2 แห่งนี้ ต้องลดระดับการระบายน้ำ เพื่อบรรเทาสถานการณ์น้ำท่วม ด้วยเหตุดังกล่าวส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินมากขึ้นในระยะนี้ โดยล่าสุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาถ่านคุณภาพมาตราฐานขยับสูงขึ้น 20 หยวนต่อตัน เป็น 592 หยวนต่อตัน”
นางสมฤดี กล่าวว่า “ภาพรวมการบริโภคถ่านหินของจีนยังอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง จึงทำให้ตลาดถ่านหินในประเทศค่อนข้างตึงตัว ราคาจึงขยับขึ้น ดังนั้นราคาถ่านหินในตลาดส่งออก ยังอยู่ในระดับเกิน 80 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งถือว่าเป็นราคาในระดับสูง และมีแนวโน้มที่จะทรงตัวต่อเนื่อง”
สำหรับประเด็นการจำกัดการนำเข้าถ่านหิน บริษัทฯ คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการนำเข้าถ่านหินที่ประเทศจีนของบริษัทฯ เกือบทั้งหมดนำเข้าผ่านท่าเรือขนาดใหญ่
ทั้งนี้ บ้านปูฯ ยังสามารถดำเนินการผลิตถ่านหินได้อยางต่อเนื่อง และผลประกอบการยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากราคาถ่านหินที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้แล้วในระดับที่ดี ซึ่งบริษัทฯวางเป้าหมายปริมาณการขายถ่ายหินในปี 2560 รวมประมาณ 45 ล้านตัน โดยเหมืองส่วนใหญ่โดยเฉพาะเหมืองในประเทศอินโดนีเซียได้มีการกำหนดราคาขายล่วงหน้าไว้แล้ว ทั้งที่มีราคาคงที่และราคาอ้างอิงตามดัชนีคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า ร้อยละ 50 ของปริมาณขายรวมทั้งปี สำหรับราคาอ้างอิง Newcastle จากประเทศออสเตรเลียล่าสุดอยู่ที่ 83 เหรียญสหรัฐต่อตัน
นางสมฤดี กล่าวว่า “ราคาถ่านหินที่ขยับขึ้น ทำให้บ้านปูฯ ตัดสินใจปรับการทำเหมืองถ่านหินในระดับที่ลึกลงมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เหมืองในระยะยาว โดยต้นทุนการผลิตนี้จะปรับสูงขึ้นอยู่ที่ 7-8 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งบริษัทฯ พิจารณาแล้วว่าเหมาะสมเมื่อเทียบกับราคาขายที่จะปรับสูงขึ้นได้มากกว่า นอกจากนี้ การปรับระดับการทำเหมืองที่ลึกลง ยังส่งผลดีต่อปริมาณสำรองถ่านหินที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยบริษัทฯ มองว่าเป็นการลงทุนให้ได้มาซึ่งปริมาณสำรองถ่านหินที่คุ้มค่าที่สุด ท่ามกลางโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับอยู่แล้ว วิธีการนี้จึงเป็นการใช้เงินลงทุนอย่างคุ้มค่า และเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินแผนธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ฉบับใหม่ที่ประกอบด้วย ธุรกิจต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ โดยธุรกิจต้นน้ำ คือ ธุรกิจถ่านหิน และธุรกิจก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (Shale Gas) ธุรกิจกลางน้ำ เน้นเรื่องการจัดการซัพพลายเชนของถ่านหินให้สั้นลง เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร รวมทั้งการผสมถ่านหินให้มีคุณภาพดีขึ้นและนำมาจำหน่ายในรูปแบบธุรกิจ coal trading
ส่วนปลายน้ำ คือ ธุรกิจไฟฟ้ารวมถึงการลงทุนในธุรกิจโซลาร์ฟาร์มในประเทศจีน และญี่ปุ่น อีกทั้งการมองหาโอกาสลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV ทั้งหมด นอกจากนี้ในประเทศอินโดนีเซียยังมีโอกาสที่ดี เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศแผนเพิ่มโรงไฟฟ้า เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตทั้งระบบรวมอีก 30,000 เมกะวัตต์ และบริษัทฯ ยังมองหาโอกาสเพิ่มรายได้ในอนาคตด้วยการเน้นการจำหน่ายไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย (decentralization) มากขึ้น จากปัจจุบันที่จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่ราย ซึ่งตามกลยุทธ์การลงทุนฉบับนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่า จะสามารถสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมั่นคงและสมดุลในระยะยาว