บ้านปูฯ เผยผลประกอบการปี 2559 เติบโตตามเป้าหมาย เดินหน้าขยายธุรกิจจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานแห่งเอเชีย รายงานผลประกอบการประจำปี 2559 มีกำไรสุทธิจำนวน 47 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,677 ล้านบาท) ฟื้นตัวขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 43 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2558 เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานถ่านหินในตลาดโลกเริ่มมีความสมดุลมากขึ้น จึงส่งผลให้ราคาถ่านหินเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 4 ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของอินโดนีเซียสูงขึ้นเป็น 62.9 เหรียญสหรัฐต่อตัน จาก 51.4 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาสที่ 3 พร้อมเดินหน้าเติบโตต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้ มีการพัฒนาธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำทั้งธุรกิจถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ไปจนถึงธุรกิจปลายน้ำที่เป็นธุรกิจไฟฟ้าทั้งจากเชื้อเพลิงทั่วไป (Conventional Power Generation) และจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Generation) พร้อมสานต่อธุรกิจในทุกส่วนให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ บ้านปูฯ ยังคงรักษากระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่งจากความสำเร็จในการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ “BANPU-W3” ตลอดจนการเสนอขายหุ้น IPO ของบ้านปู เพาเวอร์ฯ เพื่อมาต่อยอดการเติบโตของกลุ่มธุรกิจบ้านปูฯ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อีกทั้งในไตรมาสที่ 4/2559 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นจากการที่ราคาถ่านหินเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากสภาวะตลาดที่มีความสมดุลมากขึ้น”
ในปี 2559 รายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 2,259 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 79,737 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปี 2558 แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจำนวน 2,063 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 72,804 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 91 ของรายได้จากการขายรวม ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และอื่นๆ คิดเป็น 181 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6,418 ล้านบาท) และรายได้จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติแหล่งแรกบริเวณมาร์เซลลัส (Marcellus Shale) ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 1 ของปี จำนวน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ(ราว 515 ล้านบาท)
บ้านปูฯ มีปริมาณการขายถ่านหินรวมทั้งหมด 40.0 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปี 2558 โดยราคาขายถ่านหินเฉลี่ยจากอินโดนีเซียเท่ากับ 52.4 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 10 เทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของออสเตรเลียเท่ากับ 67.3 เหรียญออสเตรเลียต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามด้วยการดำเนินนโยบายลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะเดียวกันธุรกิจไฟฟ้ายังได้รับรู้รายได้จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าหงสาครบตามกำหนดทั้ง 3 หน่วย ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สำหรับปี 2559 คิดเป็น 540 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 19,059 ล้านบาท*) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากปีก่อนหน้า
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2560 นี้ บ้านปูฯ มุ่งมั่นพัฒนาทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่ง รวมถึงพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการและด้านการลงทุนเพื่อสร้างเสริมความเชี่ยวชาญในธรุกิจพลังงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา บ้านปูฯ ลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติแหล่งที่สอง (NEPA หรือ Northeast Pennsylvania)ในบริเวณเดียวกันกับแหล่งแรก จะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 นี้ ซึ่งบริษัทฯ ยังคงมุ่งหน้าที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำนี้ และมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างสมดุลให้กับธุรกิจพลังงานประเภทต่าง ๆ ของบ้านปูฯ ต่อไป ในส่วนการดำเนินงานของบ้านปู เพาเวอร์ฯ ในอนาคตนั้น บ้านปูฯ เชื่อมั่นในศักยภาพด้านการบริหารจัดการธุรกิจไฟฟ้าและขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของบ้านปู เพาเวอร์ฯ ให้ได้ตามเป้าหมาย 4,300 เมกะวัตต์ ในปี 2568 โดยมีสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20
ตลอดจนบริษัทฯ มีความพร้อมให้บริการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) และเดินหน้าพัฒนาระบบการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างมูลค่าระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสีย
นอกจากนี้ตามมติคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 ให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 พิจารณาอนุมัติให้บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2559 งวด 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2559 โดยบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.25 บาทต่อหุ้น คงเหลืออีก 0.25 บาทต่อหุ้น ที่จะจ่ายเป็นเงินปันผลจากผลประกอบการครึ่งปีหลังและได้กำหนดวัน XD เป็นวันที่ 10 เมษายน 2560 นั้น ผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ “BANPU-W3” ที่แปลงสิทธิในรอบวันที่ 3 มีนาคมนี้ จะได้รับเงินปันผลด้วย ส่วนผู้ที่ไม่แปลงสิทธิในรอบดังกล่าว บริษัทฯ จะปรับสัดส่วนและราคาการใช้สิทธิหลังจากวันขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อชดเชยกับสิทธิการได้รับเงินปันผลครั้งนี้
“บ้านปูฯ ยังคงเดินหน้านำเทคโนโลยีใหม่ที่เหมาะสมมาใช้เพื่อบริหารมูลค่าเหมืองถ่านหินที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพการผลิตสูงสุดเพื่อให้ได้ปริมาณถ่านหินที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด ตลอดจนควบคุมการผลิตและดูแลค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการผลิตถ่านหินที่มีคุณภาพสูง การขยายฐานลูกค้าไปในตลาดที่ให้ราคาถ่านหินสูง และการให้บริการด้านโลจิสติกส์ พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจจากพลังงานทางเลือกใหม่ๆ ในประเทศที่บริษัทฯ เข้าไปดำเนินธุรกิจ และในกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อส่งเสริมให้บริษัทฯ ก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจด้านพลังงานอย่างมั่นคงในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกต่อไป” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย
บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นตามปรัชญาด้านความยั่งยืนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้มากที่สุด โดยเมื่อ
เดือนมกราคมที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับรางวัล Sustainability Award ประจำปี 2560 ประเภท Gold Class และ Industry Mover ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานถ่านหินและพลังงานเพื่อการใช้งาน นับเป็นรางวัลที่บริษัทฯ ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และปีที่ 2 ตามลำดับ จาก RobecoSAM ซึ่งเป็นผู้ประเมินการดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์กรต่างๆ (Corporate Sustainability Assessment: CSA)
*หมายเหตุ: คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนที่ USD 1: THB 35.296
# # #
เกี่ยวกับบ้านปูฯ
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บุกเบิกด้านพลังงานชั้นแนวหน้าของเอเชีย ดำเนินธุรกิจถ่านหิน ธุรกิจไฟฟ้า และพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอย่างครบวงจรใน 9 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย ลาว มองโกเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา สำหรับสถานะทางการเงินของบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 6,973 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 420 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับปีก่อน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558