บ้านปูฯ เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2558 ธุรกิจไฟฟ้าเติบโตตามเป้า มองยาวถ่านหินเติบโตแกร่ง เดินหน้ายกเครื่องการผลิตรับตลาดถ่านหินฟื้นตัว สร้างแต้มต่อเหนือคู่แข่งตลอดซัพพลายเชน
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2558 พร้อมเผยทิศทางการลงทุนเพื่อสร้างกำไรยั่งยืนในระยะยาว ชูยกเครื่อง Centennial Coal Co., Ltd. ปูทางรับราคาถ่านหินฟื้น
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บ้านปูฯ มองแผนการลงทุนในระยะยาว และให้ความสำคัญกับการต่อยอดจุดแข็งของธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งกิจการเดิมที่บริษัทฯ มีอยู่ และกิจการใหม่ที่ซื้อเข้ามา นับตั้งแต่ที่บ้านปูฯ ได้ซื้อกิจการเหมืองถ่านหิน บริษัท Centennial Coal Co., Ltd. ในออสเตรเลีย บริษัทฯ ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมทำให้ธุรกิจมีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งหลายมาตรการเริ่มเห็นผลในปัจจุบัน อาทิ ราคาขายถ่านหินเฉลี่ย (ASP) ของ Centennial Coal ปรับตัวสูงขึ้น และปริมาณการผลิตต่อปีที่เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ต้นทุนการผลิต การขาย และการกระจายสินค้าในทุกตลาดปรับลดลง”
ด้วยมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและควบคุมต้นทุนของเหมืองในประเทศออสเตรเลียและอินโดนีเซียที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2558 ต้นทุนเฉลี่ยต่อตันของเหมืองในประเทศออสเตรเลียลดลง 6.73 เหรียญออสเตรเลีย (หรือประมาณ 172.83 บาท โดย 1 เหรียญออสเตรเลีย เทียบเท่า 25.68 บาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการผลิตถ่านหินในไตรมาสนี้ทำได้ดีกว่าแผนที่วางไว้ และผลิตได้มากกว่าปีก่อน ขณะที่ต้นทุนเฉลี่ยต่อตันของเหมืองในประเทศอินโดนีเซียลดลง 6.38 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 208.31 บาท โดย 1 เหรียญสหรัฐ เทียบเท่า 32.65 บาท) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดอัตราส่วนการขุดขนดินต่อถ่านหิน 1 ตัน (Stripping Ratio) จากเดิม 10.2 เท่า เป็น 8.8 เท่า และการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขนส่ง
“ปัจจุบันนี้ ธุรกิจถ่านหินของบ้านปูฯ มีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้งในด้านแหล่งทรัพยากรที่หลากหลายและระบบซัพพลายเชนที่กว้างขวางครอบคลุมหลายตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราผนึกกำลังด้านการตลาด และใช้กลยุทธ์การผสมถ่านหินจากอินโดนีเซียและออสเตรเลียเพื่อรุกตลาดส่งออกระดับพรีเมี่ยม เราพร้อมเสมอที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ และโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเป้าที่การบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์เต็มประสิทธิภาพในภาวะที่ราคาถ่านหินผันผวน และยกเครื่องประสิทธิภาพการผลิตและดำเนินงานในทุกด้าน เพื่อพร้อมสำหรับการสร้างสัดส่วนกำไรให้ได้มากที่สุดทันทีที่ราคาถ่านหินดีดตัวขึ้น” นางสมฤดี กล่าว
ในไตรมาส 1/2558 บ้านปูฯ มีกำไรขั้นต้นรวมจำนวน 245 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 7,991.50 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้นต่อยอดขายรวม (Gross Profit Margin) สำหรับไตรมาส 1/2558 คิดเป็นร้อยละ 36 ขณะที่ต้นทุนขายรวมลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ 445 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 14,517.07 ล้านบาท)
บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการจำหน่ายถ่านหิน จำนวน 631 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 20,602.15 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 92 ของรายได้จากการขายรวม และมีรายได้อีกร้อยละ 8 จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำ และรายได้อื่นๆ จำนวน 58 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 1,893.70 ล้านบาท) โดยธุรกิจถ่านหินมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ร้อยละ 36 ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ามีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาที่ร้อยละ 42 จากเดิมที่ร้อยละ 33 ในไตรมาส 1/2557 ซึ่งเป็นผลจากการที่ราคาถ่านหินปรับตัวลดลง ทำให้ต้นทุนของธุรกิจไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงปรับลดลงตามไปด้วย
“ด้านธุรกิจไฟฟ้า ทุกโครงการเดินหน้าไปตามแผน โครงการโรงไฟฟ้าหงสาจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายนนี้ และในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ธุรกิจไฟฟ้าของบ้านปูฯ ในจีน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ก็สร้างผลกำไรถึง 14 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 457 ล้านบาท โดยในระยะเวลาอีก 2 ปีนับจากนี้ หรือในปี 2560 เป็นต้นไป บ้านปูฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนที่ถือครองในประเทศไทย จีน และ ลาว รวมทั้งสิ้นกว่า 2,750 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงให้กับบ้านปูฯ อย่างต่อเนื่อง ” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย
# # #
เกี่ยวกับบ้านปูฯ
บริษัท บ้านปู (จำกัด) มหาชน เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำแห่งเอเชีย ดำเนินธุรกิจถ่านหินและธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าใน 8 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย ลาว มองโกเลีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น สำหรับสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 มีสินทรัพย์รวม 6,731 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 219,142.65 ล้านบาท) มีหนี้สินรวม 4,435 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 144,396.87 ล้านบาท) สำหรับอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 อยู่ที่ 1.19 เท่า มีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (EPS) เท่ากับ 0.001 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น (หรือเทียบเท่า 0.027 บาทต่อหุ้น)