บ้านปูฯ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2558 เสริมแกร่งธุรกิจไฟฟ้า รุกลงทุนโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น ธุรกิจถ่านหินผนึกจุดแข็งเอเชีย-แปซิฟิก เจาะส่งออกตลาดพรีเมี่ยม
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2558 รายได้จากการขายรวมคิดเป็น 1,291 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 42,534 ล้านบาท* พร้อมกางแผนยุทธศาสตร์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนครอบคลุมธุรกิจพลังงานหลากรูปแบบในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ผนึกจุดแข็งธุรกิจถ่านหิน พัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูงตอบโจทย์ลูกค้าตลาดพรีเมี่ยม เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจไฟฟ้า รุกลงทุนโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นหลายโครงการ ขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าในจีน พร้อมมองโอกาสลงทุนโครงการไฟฟ้าอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่โรงไฟฟ้าหงสาเริ่มสร้างผลกำไรซึ่งจะเข้ามาเต็มเม็ดเต็มหน่วยในไตรมาส 2/2559 เป็นต้นไป
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บ้านปูฯ ดำเนินมาตรการควบคุมต้นทุนและบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ต้นทุนขายรวมลดลงกว่า 171 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยราว 5,233 ล้านบาท หรือร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 865 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 28,494 ล้านบาท) เราพร้อมก้าวสู่ครึ่งหลังของปี 2558 อย่างมั่นคง และเดินหน้าโครงการทุกอย่างได้ตามแผน”
กลุ่มบ้านปูฯ เดินหน้าเพิ่มพอร์ตการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าให้ครอบคลุมพลังงานทดแทน และพลังงานอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงสมดุลใน 3 มิติ ได้แก่ มิติด้านธุรกิจ มิติด้านความมั่นคงทางพลังงาน และมิติด้านสิ่งแวดล้อม ล่าสุด บ้านปูฯ ได้เข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นหลายโครงการทั้งในตอนเหนือและตอนกลางของประเทศ รวมกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือครองเท่ากับ 37 เมกะวัตต์
“บ้านปูฯ อยู่ระหว่างการประเมินโอกาสการลงทุนและการเข้าซื้อกิจการพลังงานทดแทนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มเติม อาทิ ในจีน อินเดีย และประเทศต่างๆ ในอาเซียน เนื่องจากมีระยะเวลาพัฒนาโครงการสั้น จึงเริ่มต้นดำเนินการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าสร้างผลตอบแทนได้รวดเร็วและคืนทุนเร็ว โดยมีเป้าหมายถือครองกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 200 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปี” นางสมฤดี กล่าว
ด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าของบ้านปูฯ ในประเทศจีน ได้แก่ โรงไฟฟ้าโจวผิง โรงไฟฟ้าหลวนหนาน และโรงไฟฟ้าเจิ้งติ้ง มีการดำเนินงานที่ราบรื่นตลอดครึ่งปีแรกที่ผ่านมาและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยโรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งมีการขยายกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 73 เมกะวัตต์ และก่อสร้างหอหล่อเย็น (Cooling Tower) เพิ่มเติมเสร็จเรียบร้อย ส่งผลให้สามารถจำหน่ายไอน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 370 ตันต่อชั่วโมง และจำหน่ายน้ำเย็นในฤดูร้อนได้อีกด้วย ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 บ้านปูฯ มีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และอื่นๆ รวม 99 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3,268 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 7 ของรายได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ใหม่ล่าสุดในจีนซึ่งบ้านปูฯ ถือหุ้นร้อยละ 30 คือโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง กำลังผลิตติดตั้ง 1,200 เมกะวัตต์ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่ทันสมัย “อุลตร้าซูเปอร์คริติคัล” (Ultra-Supercritical) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงพร้อมลดการปล่อยก๊าซเสีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมเปิดดำเนินการในปลายปี 2560
“พอร์ตการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าของบ้านปูฯ กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยภายในปี 2561 บ้านปูฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนที่ถือครองรวมทุกโครงการทุกประเทศกว่า 2,300 เมกะวัตต์ เติบโตขึ้น 900 เมกะวัตต์ จากที่มีอยู่ 1,400 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการที่โครงการโรงไฟฟ้าหงสาในลาวเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ครบทุกยูนิต และโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวงเปิดดำเนินการตามแผน” นางสมฤดี กล่าว
ด้านธุรกิจถ่านหินของบ้านปูฯ ในอินโดนีเซียและออสเตรเลียยังคงดำเนินมาตรการลดต้นทุน พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนพัฒนาสินค้าสำหรับตลาดพรีเมี่ยมและบริหารราคาขายให้แข่งขันได้ในตลาดโลก โดยตลอดปี 2558 บ้านปูฯ กำหนดเป้าหมายการผลิตถ่านหินรวมทุกประเทศ ทั้งอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน คิดเป็น 48.5 ล้านตัน
ในครึ่งแรกของปี 2558 ที่ผ่านมา ปริมาณการผลิตถ่านหินรวมทุกเหมืองของบ้านปูฯ เป็นไปตามระดับที่คาดการณ์ไว้ตามแผน โดยในอินโดนีเซียมีปริมาณการผลิตที่ 13.7 ล้านตัน ขณะที่ Centennial Coal Co., Ltd. ในออสเตรเลีย ซึ่งบ้านปูฯ ถือหุ้น100% ผลิตได้ 7.4 ล้านตัน สืบเนื่องจากการพักเหมืองบางแห่งตามโปรแกรม Care & Maintenance ส่วนเหมืองเกาเหอ และเหมืองเฮ่อปี้ ในจีน มีปริมาณการผลิตรวมกันที่ 2.3 ล้านตัน คำนวณตามสัดส่วนการถือครอง
สำหรับเหมืองถ่านหินต่างๆ ในประเทศจีน บ้านปูฯ ได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยซึ่งเรียนรู้จากออสเตรเลียเข้าไปปรับใช้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณการผลิตในจีนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเหมืองเกาเหอสามารถเพิ่มการผลิตได้เป็นปีละ 10 ล้านตัน จากเดิมที่ผลิตได้ปีละ 6 ล้านตัน
ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2558 บ้านปูฯ มีรายได้จากการจำหน่ายถ่านหิน จำนวน 1,192 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 39,266 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 93 ของรายได้ทั้งหมด โดยในไตรมาส 2/2558 กลุ่มบ้านปูฯ มีราคาขายถ่านหินเฉลี่ย (ASP) ที่ตันละ 56.41 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,851 บาท
“บ้านปูฯ มีปริมาณสำรองถ่านหินที่ขายได้ในทุกประเทศรวมราวๆ 600 ล้านตัน และเพื่อให้พร้อมสำหรับการสร้างสัดส่วนกำไรให้ได้มากที่สุดทันทีที่ราคาถ่านหินดีดตัวขึ้น เราจึงศึกษาโอกาสเข้าซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจถ่านหินและเพิ่มปริมาณสำรองทั้งในอินโดนีเซียและออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาคุณภาพของถ่านหินให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การขายของบริษัทฯ ที่มุ่งส่งออกสู่ตลาดพรีเมี่ยมซึ่งต้องการถ่านหินคุณภาพสูง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย
*คำนวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 2 ไตรมาส ที่ 1 เหรียญสหรัฐ ต่อ 32.95 บาท
# # #
เกี่ยวกับบ้านปูฯ
บริษัท บ้านปู (จำกัด) มหาชน เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำแห่งเอเชีย ดำเนินธุรกิจถ่านหินและธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าใน 8 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย ลาว มองโกเลีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น สำหรับสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 มีสินทรัพย์รวม 6,657 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 224,863 ล้านบาท) มีหนี้สินรวม 4,392 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 148,339 ล้านบาท)