บ้านปูฯ รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 2.72 พันล้านบาทในไตรมาส 1/ 2553
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2553 (1มกราคม 2553 – 31 มีนาคม 2553) มีกำไรสุทธิจำนวน 2,717 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 จากไตรมาส 4/52 เป็นผลจากการดำเนินงานที่ดีของทั้งธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว กำไรสุทธิของไตรมาสนี้ปรับตัวลดลงร้อยละ 43 เนื่องจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง ต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และการแข็งค่าของเงินบาท
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กำไรสุทธิของไตรมาส1/2553 ที่ปรับตัวลดลงจำนวน 2,080 ล้านบาท หรือร้อยละ 43 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยที่ลดลง โดยในไตรมาส 1/2552 บริษัทฯ มีกำไรจากธุรกิจถ่านหินจำนวน 1,452 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 60 จาก 3,654 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
“กำไรสุทธิของไตรมาส 1 ที่ลดลงนั้นเป็นผลจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ ที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 21 จากงวดเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 66.27 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณถ่านหินส่วนใหญ่ที่ส่งมอบในไตรมาสนี้มีการตกลงราคาล่วงหน้าในช่วงกลางปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาถ่านหินมีการปรับตัวลดลงตามสภาวะตลาด นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งการบันทึกขาดทุนจากอนุพันธ์ทางการเงินโดยเฉพาะสัญญาซื้อขายถ่านหินล่วงหน้า (Coal Swap) จำนวน 117 ล้านบาท เทียบกับกำไรจำนวน 794 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว” นายชนินท์กล่าวชี้แจง
อย่างไรก็ตามธุรกิจไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 1,265 ล้านบาท เพิ่ม 121 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าเป็นผลจากการดำเนินงานที่ราบรื่น โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีกลับมาดำเนินงานตามปกติหลังจากหยุดซ่อมบำรุงประจำปีเมื่อปลายปี 2552ทั้งนี้บริษัทฯ รับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จำนวน 998 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 172 ล้านบาท) ในขณะเดียวกันมีการบันทึกกำไรสุทธิจาก บริษัท Banpu Power Investment (China) Ltd. หรือ BPIC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าในประเทศจีน จำนวน173 ล้านบาท และเงินปันผลจากเงินลงทุนในบริษัทผลิตไฟฟ้าอีกแห่งหนึ่งจำนวน 250 ล้านบาท
สำหรับรายได้จากการขายรวมของบริษัทฯ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีจำนวน 15,251 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าจำนวน 1,627 ล้านบาทหรือร้อยละ 12 แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งในประเทศจีน จำนวน 1,638 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11 ของรายได้จากการขายรวม ส่วนรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินมีจำนวน 13,613 ล้านบาท หรือร้อยละ 89 ของรายได้ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 1,269 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 เป็นผลจากปริมาณการจำหน่ายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นเป็น 6.156 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลจากแผนการปรับปรุงและขยายการผลิตถ่านหินของเหมืองในอินโดนีเซียที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 2552 ที่ผ่านมา
“สำหรับธุรกิจถ่านหินในประเทศจีนซึ่งบ้านปูฯ รับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นนั้น มีผลการดำเนินงานค่อนข้างดี โดยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากธุรกิจถ่านหินในจีนจำนวน 1,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 จากไตรมาส 4/52 แต่ปรับลดลงร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันในปีก่อน” นายชนินท์กล่าวเพิ่มเติม
บ้านปูฯ เป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานแห่งเอเชียที่มีความฉับไว ดำเนินธุรกิจหลักทางด้านถ่านหินและไฟฟ้าโดยมีฐานธุรกิจอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และจีน โดยฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 เมื่อเปรียบเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 103,242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,825 ล้านบาท มีหนี้สินรวมจำนวนทั้งสิ้น 45,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131 ล้านบาท สำหรับอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 เท่ากับ 0.13 เท่า เทียบกับ 0.16 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ส่วนกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 1 เท่ากับ 10 บาทต่อหุ้น ลดลงร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับ 17.65 บาทต่อหุ้นของงวดเดียวกันในปีที่ผ่านมา