บ้านปูฯ รายงานผลประกอบการปีงบประมาณ 2548 กำไรเพิ่มขึ้น ร้อยละ 53 เป็นผลจากราคาและปริมาณขายถ่านหินที่สูงขึ้น
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2548 ว่ามีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 5,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,920 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 53 ทั้งนี้ เป็นผลจากราคาและปริมาณขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น ตั้งเป้าผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 21ล้านตันในปี 2549 โดยยังคงเน้นการลงทุนในโครงการเหมืองถ่านหินและโครงการโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่สามารถสร้างมูลค่าและผลตอบแทนในระดับที่เหมาะสมให้แก่บริษัทฯ
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำปีงบประมาณ 2548 (1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2548) ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 25,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา 7,982 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 46 มีกำไรสุทธิรวม 5,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 จำนวน 1,920 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 53 โดยมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 20.48 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 13.42 บาทต่อหุ้น
ผลประกอบการของบริษัทฯ ที่ดีขึ้นเป็นผลมาจากราคาและปริมาณขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นสืบเนื่องจากความต้องการใช้ถ่านหินในประเทศต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น โดยในปี 2548 บริษัทฯ มีปริมาณขายถ่านหิน จำนวน 17 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จาก 15.6 ล้านตัน ในปี 2547 และมีรายได้จากการจำหน่ายถ่านหิน 25,047 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้แบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหินจากแหล่งผลิตในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 22,621 ล้านบาท และจากแหล่งผลิตในไทย 2,426 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการจำหน่ายแร่อุตสาหกรรมและบริการอื่น ๆ มีมูลค่า 162 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของรายได้จากการขายรวม สำหรับราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ ในปี 2548 เท่ากับ 35.23 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 37
“ถึงแม้ว่าราคาถ่านหินในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ ในปี 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมาจากบริษัทฯ ได้ทำสัญญาราคาขายถ่านหินก่อนล่วงหน้าเป็นส่วนใหญ่ จากราคาขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลให้รายได้รวม รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้น และกำไรสุทธ ิ ของบริษัทฯ ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน” นายชนินท์ กล่าวเพิ่มเติม
ส่วนฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 นั้น บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 45,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,550 ล้านบาท หรือร้อยละ 14 มีหนี้สินรวมจำนวน 23,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,779 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 เท่ากับ 0.34 เท่า เทียบกับ 0.22 เท่าในปี 2547
สำหรับการจ่ายเงินปันผลนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2548 ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2549 ให้จ่ายเงินปันผลในรอบครึ่งปีหลัง 2548 ในอัตรา 4.00 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นการจ่ายจากกำไรส่วนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน 1.90 บาท/หุ้น และกำไรส่วนที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน 2.10 บาท ต่อ/หุ้น ทั้งนี้จะนำเสนอต่อที่ประชุมประจำปีผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในเดือนมีนาคมต่อไป สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2548 บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลไปแล้วในอัตรา 8.50 บาท/ หุ้น โดยเป็นเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 3.50 บาท/หุ้นและเงินปันผลพิเศษในอัตรา 5 บาท/หุ้น รวมเป็นการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2548 จำนวน 12.50 บาท/หุ้น เทียบกับ 5.50 บาท/หุ้นในปี 2547
ในปี 2549 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตถ่านหินที่ 21 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4 ล้านตัน จากปี 2548 เนื่องจากเหมืองถ่านหินทรูบาอินโด ในประเทศอินโดนีเซีย จะเริ่มผลิตเต็มกำลังการผลิตที่ 5 ล้านตันต่อปี ในปีนี้ สำหรับธุรกิจไฟฟ้านั้น บริษัทฯ จะยังคงเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเป็นหลัก รวมทั้งแสวงหาโอกาสในการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย และประเทศจีนต่อไป โดยในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา บ้านปูฯ ได้เข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม จำนวน 4 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ส่วนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ที่บริษัทฯ ร่วมลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 50 นั้น ขณะนี้การก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 93 และคาดว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหน่วยที่ 1 จะแล้วเสร็จตามแผนและจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ในเดือนตุลาคม 2549 และหน่วยที่ 2 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี มีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ 1,434 เมกะวัตต์
“ในอนาคต บริษัทฯ ยังคงเน้นการลงทุนทั้งในธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้า โดยจะพิจารณาโครงการที่สามารถสร้างมูลค่าและผลตอบแทนให้แก่บ้านปูฯ ในระดับที่เหมาะสม” นายชนินท์ กล่าวสรุป