By clicking “Accept All Cookies”, you agree to the storing of cookies on your device to enhance site navigation, analyze site usage, and assist in our marketing efforts.
Cookies Settings
บ้านปูฯ แถลงผลประกอบการไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 884 ล้านบาท คาดรายได้ทั้งปียังคงอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท

บ้านปูฯ แถลงผลประกอบการไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 884 ล้านบาท คาดรายได้ทั้งปียังคงอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ประจำปีงบประมาณ 2549 (1 กรกฎาคม 2549 – 30 กันยายน 2549) มีกำไรสุทธิจำนวนทั้งสิ้น 884 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 796 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 47 เป็นผลจากกำไรของธุรกิจหลักที่ลดลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นโดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านภาษีส่งออกถ่านหินของบริษัทฯ รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการบริหารสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำในประเทศอินโดนีเซีย

ในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 884 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 10 จากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เป็นผลจากปริมาณขายถ่านหินและราคาขายเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน กำไรจากธุรกิจถ่านหินได้ปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นโดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านภาษีส่งออกถ่านหินซึ่งได้มีการประกาศระงับการจัดเก็บเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2549 และค่าบริหารจัดการสำหรับการปิดเหมืองใต้ดินที่เหมืองคิทาดิน-เอ็มบาลุต ดังนั้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิจึงลดลง 796 ล้านบาท หรือร้อยละ 47

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จำนวน 8,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 933 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12 เนื่องจากปริมาณการขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น และจากการรวมงบการเงินของธุรกิจไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจำนวน 7,608 ล้านบาท หรือร้อยละ 90.13 ของรายได้จากการขายรวม ซึ่งมาจากรายได้จากการขาย ถ่านหินจากแหล่งผลิตในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 7,203 ล้านบาท และจากแหล่งถ่านหินในประเทศไทย 405 ล้านบาท สำหรับรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าและไอน้ำมีจำนวน 810 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.6 ของรายได้จากการขายรวม ส่วนรายได้อื่นๆ มีจำนวน 23 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.27 ของรายได้จากการขายรวม

สำหรับปริมาณขายถ่านหินในไตรมาสที่ 3 มีจำนวน 5.31 ล้านตัน โดยมีปริมาณขายของเหมืองทรูบาอินโด ในอินโดนีเซียที่เริ่มเปิดดำเนินการ จำนวน 1.08 ล้านตัน ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีนี้ บริษัทฯ สามารถผลิตถ่านหินได้จำนวนทั้งสิ้น 15.2 ล้านตัน โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทฯ จะสามารถผลิตถ่านหินได้ประมาณ 21 ล้านตัน และคาดว่ารายได้จากการขายรวมในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 3 เท่ากับ 36.6 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในขณะที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 35 เหรียญสหรัฐต่อตัน

“ในปีหน้าบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากปริมาณสำรองถ่านหินที่มีอยู่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การเติบโตที่ใช้เงินลงทุนต่ำและสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดท่ามกลางสภาวะแวดล้อมของอุตสาหกรรมถ่านหินในปัจจุบัน ในปีหน้าเหมืองทรูบาอินโดซึ่งเป็นแหล่งถ่านหินคุณภาพสูงจะขยายการผลิตเพิ่มขึ้น ในขณะที่เหมืองอินโดมินโค-บอนตัง ซึ่งเป็นเหมืองถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ ในปัจจุบัน กำลังดำเนินการศึกษาด้านวิศวกรรมในการผันปริมาณสำรองที่มีอยู่เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น ส่วนแหล่งถ่านหินในประเทศไทยนั้นปริมาณการผลิตจะลดน้อยลงจากปริมาณสำรองถ่านหินที่ใกล้จะหมดลง ดังนั้นในปีหน้าปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของถ่านหินคุณภาพสูงจะทดแทนการลดลงของถ่านหินในประเทศไทยและทำให้คุณภาพถ่านหินของบริษัทฯ โดยรวมสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าปริมาณการผลิตถ่านหินโดยรวมจะไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนักจากปีนี้” นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าว

บ้านปูฯ เป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานชั้นนำของเอเชียที่มีฐานการผลิตใน 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และ จีน โดยฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 44,281 ล้านบาท และมีหนี้สินรวมจำนวน 24,380 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 เท่ากับ 0.69 เท่า เทียบกับ 0.34 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548

© 2024 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) | Banpu Public Company Limited. All rights reserved.