บ้านปูฯ รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/ 2556
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2556 ธุรกิจถ่านหินมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นและมีต้นทุนการผลิตลดลง ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้าสามารถดำเนินการผลิตและขายไฟได้ดีตามแผน
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่าในไตรมาส 2/56 ที่ผ่านมา บริษัทฯ บันทึกกำไรสุทธิจำนวน 21 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 629 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 32 จากไตรมาส 1/56 และลดลงร้อยละ 68 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นผลมาจากการรับรู้การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 14 ล้านเหรียญสหรัฐ (ส่วนใหญ่เป็นผลขาดทุนสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) รวมทั้งราคาถ่านหินในตลาดที่ยังคงอ่อนตัว ซึ่งหากไม่นับรวมการรับรู้การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวแล้ว กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส นี้จะคิดเป็น 35 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 1,046 ล้านบาท)
สำหรับราคาขายถ่านหินเฉลี่ยโดยภาพรวมในไตรมาสนี้ ลดลงร้อยละ 17 อยู่ที่ 74.46 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จาก 89.74 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในไตรมาส 2/55 ซึ่งเป็นไปตามราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของเหมืองในประเทศอินโดนีเซียเท่ากับ 77.46 เหรียญสหรัฐต่อตัน และในประเทศออสเตรเลียเท่ากับ 69.68 เหรียญออสเตรเลียต่อตัน
ราคาขายถ่านหินที่อ่อนตัวลงส่งผลให้รายได้จากการขายรวมในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาลดลงร้อยละ 10 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าเป็น 852 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 25,475 ล้านบาท) โดยร้อยละ 94 มาจากการขายถ่านหินจำนวน 805 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 24,057 ล้านบาท) ส่วนอีกร้อยละ 5 มาจากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำรวม 41 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2 นี้ การผลิตถ่านหินมีปริมาณเพิ่มขึ้น โดยเหมืองถ่านหินของบริษัทฯ ทั้งในประเทศอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายถ่านหินรวม 10.71 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.81ล้านตัน จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตและขายของแหล่งผลิตถ่านหินในทั้งสองประเทศ
“ธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย และออสเตรเลียรายงานปริมาณการผลิตที่ดี ประกอบกับต้นทุนการผลิตต่อตันที่ลดลงช่วยลดผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของราคาขาย ขณะที่ธุรกิจถ่านหินในประเทศจีนมีผลประกอบการที่ดีจากเหมืองเกาเหอ ส่วนธุรกิจไฟฟ้า BLCP ดำเนินการผลิตและขายไฟฟ้าได้ดีตามแผน
บริษัทฯ บันทึกส่วนแบ่งกำไรจำนวน 29.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 879 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 90 ล้านบาท ) ขณะที่โรงไฟฟ้าในจีนบันทึกกำไรสุทธิจำนวน 4.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 143 ล้านบาท)” นายชนินท์ กล่าว
นายชนินท์กล่าวเสริมว่าการดำเนินมาตรการลดต้นทุนการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานมาตั้งแต่ปลายปี 2555 ได้ช่วยลดผลกระทบจากการลดลงของราคาขายถ่านหินได้เป็นอย่างดี โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2555 ขณะที่เหมืองถ่านหินในออสเตรเลียสามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในปี 2556 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายลดต้นทุนการผลิตที่อินโดนีเซียและออสเตรเลียลงร้อยละ 10 และร้อยละ 5-7 ตามลำดับ
ส่วนแนวโน้มราคาถ่านหินนั้น นายชนินท์ กล่าวว่าราคาถ่านหิน ณ ปัจจุบันน่าจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และอาจจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปในช่วงต้นปีหน้า แต่คงจะไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก เนื่องจากสถานการณ์ปริมาณถ่านหินส่วนเกินในตลาด (Over Supply) น่าจะมีต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
นายชนินท์ กล่าวเสริมอีกว่า บ้านปูฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเพิ่มกำลังการผลิตถ่านหินจากแหล่งถ่านหินที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งแหล่งที่กำลังพัฒนาในมองโกเลีย นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าที่บ้านปูฯ มีความชำนาญอยู่แล้วนั้น บริษัทฯ กำลังแสวงหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมนอกเหนือจากโครงการโรงไฟฟ้าหงสาที่ขณะนี้การก่อสร้างมีความคืบหน้าแล้วเสร็จไปแล้วประมาณร้อยละ 62
“เมื่อโรงไฟฟ้าหงสาเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2558 เป็นต้นไป จะมีส่วนช่วยเพิ่มรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าให้กับบ้านปูฯ อย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะทำให้ธุรกิจไฟฟ้ามีสัดส่วนมูลค่าธุรกิจเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าร้อยละ 30” นายชนินท์กล่าวปิดท้าย